“ลดช่องว่างระหว่าง GEN ให้น้อยลง” เทรนด์มาแรงที่นักธุรกิจในยุค 2024 ต้องรู้
“ลดช่องว่างระหว่าง GEN ให้น้อยลง” เทรนด์มาแรงที่นักธุรกิจในยุค 2024 ต้องรู้
.
ในยุคปัจจุบันที่เมื่อเวลาผ่าน โลกเราก็เริ่มมีคนในช่วงวัยอายุต่าง ๆ หรือเจเนอเรชัน (GEN) ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ช่องว่างระหว่างแต่ละ GEN เริ่มกว้างมากขึ้น ความต้องการในด้านต่าง ๆ ก็หลากหลายและแตกต่างมากขึ้นเช่นกัน
.
ในแง่มุมของการทำธุรกิจเองก็ต้องมีการปรับรูปแบบและยืดหยุ่นกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้คนใน GEN ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงธุรกิจหรือสินค้าของเราได้ง่ายมากขึ้นไม่ว่าจะช่วงวัยไหน ซึ่งสิ่งนี้เราเรียกว่า “เทรนด์ธุรกิจที่ลดช่องว่างระหว่าง GEN ให้น้อยลง”
.
ลองนึกภาพว่าช่วงแรก ๆ ที่เราสั่งอาหารในร้านอาหาร ก็จะต้องหาเมนูเป็นอันดับแรกใช่หรือไม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าเราต้องสแกน QR CODE เพื่อที่จะดูรายการเมนูในสมาร์ทโฟนแทนนั่นเอง ซึ่งวิธีการนี้ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้เป็นอย่างมาก
.
แต่ลองนึกว่าถ้าเรามีคุณปุ่คุณย่ามาทานด้วย จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการอธิบายวิธีการสแกนเพื่อสั่งเมนูตั้งแต่ต้นจนจบ ในเมื่อยุคของคุณปู่คุณย่าเขาใช้วิธีการเรียกพนักงานมาเพื่อขอเมนูและสั่งโดยตรง
.
นั่นคือจุดที่เรียกว่าช่องหว่างระหว่าง GEN ที่ทำให้เกิดความแตกต่างในช่วงวัยอายุของแต่ละคนนั่นเอง ซึ่งคราวนี้เราจะมาดูคร่าว ๆ ว่าไลฟ์สไตล์ของแต่นะเจเนอเรชันนั้นจะเป็นแบบไหนกันบ้าง
.
Baby Boomer (1946-1964)
อันดับแรกคือ Baby Bommer ซึ่งล่าสุดพบว่าคนในเจนนี้เริ่มหันมาสนใจในเรื่อง Digital และ Social Media มากขึ้น เพื่อติดต่อพูดคุยกับลูกหลานและครอบครัว โดยส่วนใหญ่ Topic ที่พูดถึงมักจะเป็น เรื่องสุขภาพ อาหารการกินและข่าวสารบ้านเมือง
.
Generation X (1965-1980)
สำหรับ Generation X นั้นจะเป็นช่วงวัยที่ยึดถือการจัดการชีวิตตามตารางและเป้าหมายเพื่อให้มีประสิทธิภาพชีวิตที่สูงสุด โดยในเจนนี้จะถือเป็นเจนที่มีความรับผิดชอบสูง เพราะต้องคอยดูแลภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มากมายสำหรับสมาชิกคนในบ้าน ดังนั้น Topic ส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับ การเงิน การลงทุน กองทุนต่าง ๆ สุขภาพ ประกันภัย เพื่อให้สามารถดูแลครอบครัวได้อย่างทั่วถึง
.
Generation Y (1980-1995)
มาต่อกันที่เจนที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน เริ่มแต่งงาน วางแผนสร้างครอบครัวกัน โดยสำหรับเจนนี้จะโดดเด่นในเรื่องการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อรับมือกับปัญหาในอนาคตนั่นเอง โดยส่วนใหญ่เจนนี้จะเล่น Social Media และรู้จักการใช้ Digital อย่างเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ซึ่งหัวข้อ Topic ที่ส่วนใหญ่คุยกันนั้นก็จะเป็นเรื่องของ การไปเที่ยว ไปคาเฟ กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ การลงทุนต่าง ๆ รวมไปถึง สุขภาพจิตใจและกิจกรรมที่จะช่วยขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตให้บาลานซ์กันไปกับชีวิตทำงานอีกด้วย
.
Generation Z (1996-2012)
จริง ๆ แล้วไลฟ์สไตล์ของเจเนอเรชัน Z เองก็จะใกล้เคียงกับเจเนอเรชัน Y แต่เนื่องจากส่วนใหญ่มักจะคลุกคลีกับ Social Media และ Digital มาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะรับรู้ข่าวสารได้อย่างทั่วถึง รวมไปถึงยังเป็นเจนที่ได้รับยกย่องว่าเป็นเจนที่จริงจังและพร้อมสนับสนุนแบรนด์ที่มีสินค้ารักษ์โลก โดยส่วนใหญ่ Topic ที่เราจะได้เห็นจากเจนนี้จะเป็นเรื่องของการ Streaming Live เกม งานศิลปะหรือธุรกิจที่ออกแบบด้วยตัวเอง รวมไปถึงการอัปเกรดตัวเองเพื่อเป็น Influencer หรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะสร้างตัวตนใน Social Media ได้เป็นอย่างดี
.
#รู้จักแต่ละเจนแล้วมารู้จักธุรกิจของเรากันต่อ
คราวนี้เมื่อเราหันมามองธุรกิจของเรานั้น ก็จะพบว่าหากเราต้องการให้ธุรกิจของเราสามารถตอบโจทย์แก่เจเนอเรชันต่าง ๆ ก็คงต้องปรับและยืดหยุ่นกลยุทธ์ เพื่อให้แต่ละช่วงวัยสามารถเข้าถึงธุรกิจของเราได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
.
ตัวอย่างเช่น ร้านชาบูที่กล่าวมาข้างต้น การสแกน QR CODE เป็นเรื่องสะดวกสำหรับช่วงเจเนอเรชัน X Y Z แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าเรายังคงมีเมนูเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเหล่า Baby Boomer ที่ยังเคยชินกับการสั่งผ่านเมนูอาหารนั่นเอง
.
หรืออย่างเช่น ร้านอาหารไทยแม่ศรีเรือน ที่ก่อตั้งมากว่า 60 ปี โดยทางร้านได้มีการปรับดีไซน์ร้านและแบรนด์ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังคงความเป็นเรียบง่าย ไม่โบราณหรือหรูหราเกินไป ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้านแม่ศรีเรือน ทำให้คนในทุกช่วงเจนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
.
สรุปแล้ว ไม่ว่าการทำธุรกิจหรือแบรนด์ประเภทใดก็แล้วแต่ ก่อนที่เราจะเริ่มต้นก็ควรจะเข้าใจถึงลักษณะของผู้บริโภคในแต่ละเจเนอเรชันก่อน เพื่อให้เราสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างเหมาะสมและตอบโจทย์ต่อผู้บริโภคของเรานั่นเอง
.
#ตั้งตัว #Tangtua #เทรนด์ธุรกิจ